fbpx

งดบริการให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อ่านนโยบายการขาย คลิก

ติดต่อเราเพื่อสอบถาม

แอด LINE สั่งเลย

*สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น

Please add Image or Slider Widget in Appearance Widgets Page Banner.
If you would like to use different Widgets on each page, we reccommend Widget Context Plugin.

เปิดโลก ไวน์ชิลี ! ไวน์ถูกและดีมีอยู่จริง!

September 24, 2020

ไวน์ชิลี Chilean Wine นั้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวกระโดดจากประเทศผลิตไวน์เกรดต่ำราคาถูก มาเป็นผู้ผลิตไวน์ที่มีคุณภาพดีและน่าสนใจมาก ถ้าดูจากภูมิประเทศนั้น พื้นที่ปลูกไวน์ที่ยาวเกือบ 2 พันกิโลเมตร และถูกประกบทั้ง 4 ด้านด้วยทะเล ภูเขา ทะเลทราย และภูเขาน้ำแข็ง มีความหลากหลายและเหมาะมากกับการปลูกไวน์ ไม่ว่าจะในเรื่องของภูมิอากาศไปจนถึงสภาพของดิน และตอนนี้มีผู้ผลิตคุณภาพเยี่ยมออกมามากมาย ทั้ง ไวน์ชิลี ขั้นเทพ รวมไปถึงไวน์ระดับกลาง ราคาเข้าถึงง่าย แต่คุณภาพดี วันนี้ผมอยากจะพาทุกคนมาศึกษาไวน์ต่างๆ ที่หลากหลายของชิลี มาดูกันว่า ไวน์ชิลี นั้นมีเอกลักษณ์อย่างไร และทำไมคุณถึงไม่ควรมองข้าม ไวน์ชิลี อีกต่อไป

 

ไวน์แนะนำ

ชิลีเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเชิงลักษณะพื้นที่มากที่สุดที่หนึ่งของโลก เริ่มตั้งแต่รูปทรง ที่เป็นประเทศที่ยาว และแคบที่สุดในโลก มีเขตแดนตั้งแต่พื้นที่หนาวจัดแบบเขต แอนตาร์กติกาของทางใต้ ไปสู่ทะเลทรายที่ร้อนและแห้งที่สุดในโลกของ Atacama ทางเหนือสุด  ซึ่งมีพื้นที่ปลูกองุ่นยืดยาวกว่า 2000 กิโลเมตร (ยาวกว่าประเทศไทยเสียอีก!) ส่วนตอนกลางของประเทศ ก็มีความหลากหลายมากๆ มีอากาศตั้งแต่แบบเมดิเตอร์เรเนียน ป่าทึบหนาวและชื้น พื้นที่ทะเลสาบ ไปจนถึงพื้นที่ภูเขาไฟ จึงทำให้สามารถปลูกองุ่นที่หลากหลาย พร้อมมีรสชาติโดดเด่น มีเอกลักษณ์ครับ

นอกจากนั้นยังสามารถแบ่งลักษณะพื้นที่ออกเป็นเชิงแนวตั้ง โดยฝั่งตะวันออกติดกับโบลีเวียและอาร์เจนติน่า เป็นพื้นที่ติดกับเทือกเขาแอนดีส Andes ซึ่งจะเป็นเทือกเขาสูงอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุและหินปูนครับ ถัดมาคือส่วนกึ่งกลางระหว่างภูเขาชันและชายฝั่ง เป็นพื้นที่ราบเสียส่วนใหญ่ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนส่วนใหญ่ ส่วนพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกจะเป็นชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ทั้งหมด

ประวัติความเป็นมาของ ไวน์ชิลี

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 1600 เมื่อกลุ่มนักล่าอาณานิคมชาวสเปนเข้ามาเหยียบประเทศชิลีเป็นครั้งแรก พร้อมกันนั้นก็ได้นำเถาวัลย์องุ่นมาเริ่มเพาะปลูกในชิลีด้วย โดยเริ่มปลูกองุ่นบริเวณตอนใต้ของชิลีก่อน ด้วยพันธุ์เถาองุ่นที่จำกัด โดยถูกเรียกว่า ‘the common black grape’ ที่มีพันธุ์องุ่นอย่างเช่น Muscatel, Torontel, Albilho, Cinsault และ Pais เป็นต้น

โดยพันธุ์องุ่นที่หลากหลายเริ่มเข้ามาสู่ชิลีช่วงกลางปี 1900 เพราะการคมนาคมกับยุโรป ทั้งฝรั่งเศส อิตาลี่ และสเปน ทำให้องุ่นที่เราคุ้นเคย เข้ามาเป็นที่นิยมอย่างมากในชิลี ตั้งแต่ Cabernet Sauvignon, Merlot, Cabernet franc, Malbec, Sauvignon blanc และ Sémillon นั่นเองครับ โดยต่อมาได้พัฒนาวิทยาการต่างๆ ในปี 1980 เพื่อเริ่มผลิตไวน์ขายในเชิงพาณิชน์มากขึ้นครับ

หลักจากธุรกิจผลิตไวน์เริ่มบูมมากๆ ในช่วงปลายปี 90 เข้าสู่ต้นปี 2000s ทำให้ไวน์ชิลี หากดีก็จะดีไปเลย ราคาแพง เข้าถึงยาก แต่หากเป็นการผลิตป้อนตลาดแมสก็จะเน้นราคาที่ย่อมเยาว์ คุณภาพไม่โดดเด่น ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น! ทำให้ขาดหายไวน์ระดับกลาง หรือไวน์ที่ได้จากการทดลอง รูปแบบใหม่ๆ ทำให้ชิลีต้องหันมาโฟกัสที่ไวน์ระดับกลางมากขึ้น นอกจากนั้นยังเลิกเลียนแบบไวน์สไตล์ยุโรป และหันมาผลิตในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคของตนเอง จนเป็นผลให้ทั้งโลกต้องยอมรับไวน์จากชิลี ที่ไม่ใช่แค่ราคาจะจับต้องได้ แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวอีกด้วยครับ!

พันธุ์องุ่น ไวน์ชิลี

อาจเนื่องมาจากอุตสาหกรรมไวน์ในชิลี และสภาพอากาศอันเหมาะสม ทำให้ชิลีเน้นในการผลิตไวน์แดงเป็นหลัก เพราะบริเวณเชิงเขาแอนดีสอันลาดชัน อุดมไปด้วยหินและดินแห้งๆ เหมาะกับการปลูก  Cabernet Sauvignon, Merlot และองุ่นที่ปลูกได้ดีในบอร์โดซ์พันธุ์อื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ Camenere นอกจากนั้นชิลีก็ยังมี Malbec เช่นกัน ถึงแม้จะเทียบไม่ได้ในเชิงปริมาณกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาร์เจนติน่า แต่เรื่องคุณภาพก็พอไปวัดไปวากันได้เลยนะครับ!

ส่วนไวน์ขาว แม้จะสู้ในเชิงปริมาณไม่ได้ แต่เรื่องคุณภาพก็เรียกว่าไม่ทิ้งห่างไวน์แดงแน่นอน เพราะมีพื้นที่เขาสูงเยอะ รวมไปถึงพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรจึงทำให้ลทหนาว และความชื้นสามารถถูกพัดผ่านเข้ามาในวินยาร์ดได้อย่างอิสระ เหมาะกับการปลูกองุ่นขาวที่ต้องการอากาศหนาวเย็น เช่น Sauvignon Blanc และ Chardonnay ไปจนถึงองุ่นแดงที่ชอบอากาศหนาวอย่าง Pinot Noir ด้วยครับ

โดยองุ่นชูโรงของชิลี ก็คงหนีไม่พ้น Cabernet Sauvignon องุ่นขวัญใจไวน์โลกใหม่ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่งมากมาย แต่ชิลีก็สามารถสร้างชื่อให้ตนเอง ด้วย Cabs เข้มข้นสีแดงเข้ม อันมีรสชาติที่โดดเด่นของเรดและแบล็คเบอร์รี่ นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยโน๊ตของวานิลลา สมุนไพร เครื่องเทศ และใบยาสูบครับ

Carménère

Carménère ถือว่าเป็นองุ่นที่เป็นเอกลักษณ์แห่งไวน์ชิลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากๆ เพราะตอนแรก Carménère เป็นสายพันธุ์ที่มาจากฝรั่งเศสและยุโรปโบราญ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เหมือนถูกลอกเลียนแบบมาจาก Cabernet Sauvignon ถูกส่งมาที่ชิลีในช่วง 1867 ซึ่งเป็นช่วงที่โรค phylloxera plague กำลังระบาดหนักในยุโรป ทำลายเถาองุ่นมากมาย เมื่อชาวยุโรปต้องการที่จะปลูกองุ่นคืน จึงตัดสินใจปลูก Cabernet Sauvignon หรือ Merlot ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เป็นที่นิยมมากกว่า แทนที่ Carménère ทำให้องุ่นสายพันธุ์นี้เหมือนจะสูญสิ้นไปจากโลกนี้… ยกเว้นแต่เพียงที่ชิลี ที่มีทั้งเชิงเขาสูง ธารน้ำแข็ง และทะเลทรายที่แห้งที่สุดในโลก ทำให้ phylloxera ไม่อาจเขาถึงประเทศชิลี ทำให้ Carménère เหลือรอดในชิลีจนมาถึงปัจจุบัน แต่ Carménère ในชิลีไม่ได้เป็นที่รู้จักจนมาถึงปี 1990s เพราะ สมัยก่อนมีความสับสนเรื่องพันธุ์องุ่นโดยผู้ผลิตสับสนคิดว่า Carménère เป็น Merlot ด้วยความที่มีรสชาติคล้ายคลึงกัน จึงปลูกอย่างแพร่หลายเพื่อตามแบบฉบับของบอร์โดซ์ จนกระทั้งเริ่มมีคนสงสัยว่าทำไม Merlot ในชิลีมีรสชาติต่างกัน? (ซึ่งจริงๆ มี Carménère ผสมอยู่) ในปี 1994 จึงมีนักวิทยาศาสตร์และ มีผู้เชียวชาญยืนยันอีกทีว่าเป็นสายพันธุ์ Carménère อันมีรสชาติจัดจ้านกว่า Merlot และ tannin ที่ละมุนละไมเหมือนกำมหยี่ พร้อมโน้ตของราสเบอร์รี่่ พริกไทย ไปจนถึงทับทิม โดยปัจจุบัน Carménère เหลือน้อยลงมากในฝรั่งเศส ยิ่งทำให้เป็นที่ต้องการมากขึ้นไปอีกครับ

แผนผังไวน์ชิลี

ไวน์ชิลี chilean wine
Ref. Winefolly.com

การแบ่งพื้นที่ไร่ ไวน์ชิลี จะแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ นั้นคือ region, sub-region, zone และ area แต่หากจะแบ่งพื้นที่แบบคร่าวๆ ที่สุด สามารถแบ่งได้เป็น 3 ภาคใหญ่ๆ นั่นคือภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยสิ่งที่จะอยู่ในฉลากของขวดไวน์คือ sub-region ของแต่ละพื้นที่ในชิลีครับ ด้วย sub-region ทั้งหมดของชิลีมีด้วยกันทั้งสิ้น 17 พื้นที่ ด้วยข้อยกเว้นของ Rapel valley ซึ่งมักถูกระบุแยกออกเป็น 2 โซน นั่นก็คือ Colchagua และ Cachapoal ครับ แบ่งได้ประมาณนี้ครับ

ชิลีเหนือ

  • Atacama region

  • Coquimbo region (Elqui Valley, Limarí Valle, Choapa Valley)

ชิลีกลาง

  • Aconcagua region (Aconcagua Valley, Casablanca Valley, San Antonio Valley)

  • Central valley region (Maipo Valley, Rapel Valley, Colchagua, Cachapoal, Curicó Valley, Maule Valley)

ชิลีใต้

  • South region (Itata Valley,Bío-Bío Valley, Malleco Valley)

  • Austral

ชิลีกลาง

ขอเริ่มลงรายละเอียดจากตรงกลางก่อนเลยครับ เพราะเป็นพื้นที่ที่ผลิตไวน์ชิลีได้มาก และโด่งดังที่สุดในประเทศเลยทีเดียว เพราะมีสภาพอากาศตามใกล้เคียงเมดิเตอร์เรเนี่ยน อาจจะมีฝนอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะแห้งและร้อน แต่ด้วยอิทธิพลของอากาศหนาวที่พัดผ่านมาจากเทือกเขา Andes และกระแสน้ำเย็นจากแอนตาร์กติกาที่เรียกว่า Humboldt Current ทำให้เกิดขั้วความหนาวเย็นที่ยิ่งช่วงเพิ่มความโดดเด่นให้องุ่นในพื้นที่นี้ไปอีกครับ และเต็มไปด้วยผู้ผลิตไวน์ชิลีชั้นนำของประเทศครับ

Aconcagua Valley

Aconcagua เป็นชื่อส่วนหน่วงของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในชิลีก็ว่าได้ โดยลักษณะการปลูกจะเป็นวินยาร์ดขนาดใหญ่ กินพื้นที่เนินเขาทั้งเนิน บริเวณตีนเขาจะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการไวน์แดงตั้งแต่ Cabernet Sauvignon ไปจนถึง Carménère, Petit Syrah และ Tempranillo ซึ่งลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์จากพื้นที่นี้คือ full-body รสเข้มข้น และเต็มไปด้วยโน้ตของผลไม้สีแดง

Casablanca Valley

อยู่แทบจะติดกับ Aconcagua แต่ลงมาทางใต้และเข้าใกล้ชายฝั่งไปอีกหน่อย ก็จะเจอกับ Casablanca Valley ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเนินเขาสูงและลมชายฝั่งทะเลอันหนาวเย็นทำให้ปลูกองุ่น cool climate ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเป็นไม่กี่เขตที่มีการผลิตไวน์ขาวมากกว่าไวน์แดง ตั้งแต่ไวน์ขาวหรูหราสดชื่นจาก Chardonnay และ Sauvignon Blanc ไปจนถึงไวน์แดงกลิ่นหอมสดชื่นจาก Gewürztraminer และ Pinot Gris

San Antonio Valley

อยู่ต่ำลงมาทางใต้ของ Maipo เล็กน้อย มีสภาพอากาศใกล้เคียงกัน จึงเป็นพื้นที่ที่สามารถผลิตไวน์ขาวจาก Sauvignon Blanc และ Chardonnay รสชาติยอดเยี่ยม แต่ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เลยคือสามารถปลูก Pinot Noir คุณภาพเยี่ยม  light body สดชื่น หอมผลไม้ ในขณะเดียวกันก็ซับซ้อน เต็มไปด้วยรสชาติของแร่ธาตุครับ

ใครอยากได้ไวน์ชิลีคุณภาพเยี่ยม ต้องลองไวน์ที่มาจาก Leyda Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ ใน San Antonio ที่ผลิตไวน์ cool climate รสชาติอร่อยสดชื่นได้ครับ

Maipo

พื้นที่ที่เต็มไปด้วยวินยาร์ดเก่าแก่ อยู่รอบเมืองซันติอาโก ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศชิลี และเป็นศูนย์รวมของธุรกิจและผู้คนอีกด้วยครับ ที่นี้ Cabs is king เช่นเดียวกับ Napa Valley แต่รสชาติก็จะต่างกันชัดเจนซึ่ง Cabernet Sauvignon ของ Maipo จะมีโน้ตที่จัดจ้านของพริกไทย และเครื่องเทศมากกว่า ซึ่งผู้ผลิตที่คุณควรจับตามองคือ Concha y Toro และ Santa Rita ครับ

Rapel Valley

ลงใต้ลงมาหน่อยจะเจอกับ Rapel Valley ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการผลิตไวน์ชิลีที่ดีที่สุด มีวินยาร์ดที่โดดเด่นมากมายตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ รวมไปถึง clos Apalta ซึ่งไวน์แมนขอยกให้เป็นผู้ผลิตไวน์ชิลีสุดโปรดไปเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์แดง ทั้ง Cabernet Sauvignon, Merlot และ Syrah แต่ที่ดังที่สุดก็คงจะเป็น Carménère เลยครับ ปลูกได้ดีบริเวณตีนเขาแอนเดส ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ย่อยที่โดดเด่นเรื่อง Carménère เหมือนกัน แต่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง

  • Colchagua ใครที่กำลังตามหา Cabernet Sauvignon ที่มีรสละมุนนุ่มไม่รุนแรงเข้มข้นเหมือนกับ Maipo ต้องลองไวน์ของ Alto Cachapoal นอกจากนั้น Carménère คุณภาพเยี่ยมยังหาได้บริเวณตีนเขาแเอนดีสในพื้นที่เล็กๆ อย่าง Apalta และ Los Lingues. โดย Apalta เป็นทิวเขาที่มีรูปทรงคลายพระจันทร์ อุดมไปด้วยดินจากหินแกรนิต ซึ่งความลาดชันของวินยาร์ดช่วยป้องกันองุ่นจากการโดนแสงมากเกินไป ทำให้องุ่นสุกช้า และมีรสชาติที่สมดุล นับว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดในการผลิตไวน์ชิลีครับ
  • Cachapoal ขึ้นชื่อเรื่อง Carménère โดยเฉพาะในพื้นที่ Peumo และ Las Cabras

Curicó Valley

ถัดมาทางใต้ลงมาอีกคือ Curicó Valley ซึ่งเป็นเขตปลูกไวน์ชิลีที่เก่าแก่ที่สุดในชิลี ที่มีผู้ผลิตรุ่นบุกเบิกมากมายตั้งแต่ Miguel Torres และ San Pedro เป็นต้น เป็นหัวหอกสำคัญที่ทำให้ทั้งโลกยอมรับไวน์ฉิลีจนถึงทุกวันนี้ครับ ขึ้นชื่อเรื่อง Cabernet Sauvignon แบบรสชาติดั้งเดิม ตามมาด้วยไวน์ขาวเฉียบคมอย่าง Sauvignon Blanc ซึ่งจะเน้นรสชาติไวน์อันสมดุล ไม่หวือหวาเหมือนไวน์แถบเมดิเตอร์เรเนียนอื่นๆ ครับ

Maule Valley

เป็นเหมือนพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างชิลีกลางและใต้ จึงมีเอกลักษณ์ที่เฉพาะของตนเอง เช่นยิ่งใกล้ชายฝั่งแปซิฟิค เนินเขาจะเป็นดินผสมหินอ่อนและหินปูน แม้ว่า Cabernet Sauvignon และ Carménère จะมีการปลูกเยอะที่สุด แต่ไวน์สายพันธุ์รองที่ถูกเริ่มปลูกโดยชาวสเปน ก็เริ่มกลับมาเป็นที่นิยม เช่น Pais, Carignan, Semillon และ Cabernet Franc

ชิลีใต้

เป็นพื้นที่ที่แตกต่างออกไปจากพื้นที่ทำไวน์ชิลีตัวอื่นๆ ด้วยความที่สภาพอากาศที่หนาวเย็น และชื้นสูง แต่ได้ดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากหินภูเขาไฟ เหมาะกับองุ่น cool climate อย่างยิ่ง โดยการผลิตไวน์เริ่มลงสู่พื้นที่ทางใต้ในช่วง 1990 โดยกลุ่มนักผลิตไวน์ที่กล้าได้กล้าเสีย ทดลองปลูกจนได้ผลผลิตในที่สุด จึงนับว่าเป็นเขตที่น่าตื่นเต้นสำหรับไวน์ชิลีอย่างมากครับ เพราะแม้จะเป็นพื้นที่ใหม่ แต่วิธีการผลิตยังคงความคลาสสิคมากครับ

หนึ่งในวิถีผลิตไวน์ที่น่าสนใจของทางใต้ (รวมถึงบางพื้นที่ของ Maule Valley ด้วยครับ) คือการผลิตไวน์จากองุ่นป่า ที่หาไม่ค่อยได้แล้วในปัจจุบัน ซึ่งคนท้องถิ่นจะเก็บเกี่ยว Pais Salvaje ซึ่งจะขึ้นอย่างอิสระในป่า หลักจากเก็บ และต้องนำองุ่นมาบดด้วยมือบนแคร่ไม้ที่เรียกว่า Zaranda ซึ่งจะได้ไวน์รสหยาบๆ แต่ก็เข้มข้น และทรงเสน่ห์อย่างมากครับ

Itata Valley

เป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับ Maule Valley โดยแต่ก่อน Itata Valley เน้นในการปลูก Pais เป็นหลัก แต่ต่อมาต้องการนำองุ่นพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อเสริมรสชาติและสีสันให้กับไวน์ Pais จึงนำ Cinsault เข้ามาปลูก สำหรับไวน์ขาวก็จะมี Muscat ซึ่งถือว่าเป็นองุ่นดั้งเดิม ใครที่สนใจรสชาติแท้ๆ ของไวน์ชิลี ก่อนที่ Cabernet Sauvignon จะครองเมือง ต้องลองหาไวน์ดีๆ จาก Itata Valley เลยครับ

Bío-Bío Valley

มีวินยาร์ดไม่เยอะเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกฉุกฉุมเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ซึ่งหากปีไหนมีผลผลิตดี ให้รีบมองหา Pinot noir ของ Bío-Bío Valley ไว้เลยนะครับ เพราะรสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยรสสดชื่นของผลไม้สีแดง และ acidity ที่เฉียบคม

Malleco Valley

อยู่ทางใต้ลงมาอีก Malleco Valley มีอากาศความคล้ายคลึงกับออเรกอนคือหนาวและมีหมอกหนา มีวินยาร์ดแค่ 5 แห่ง แต่ Chardonnay, Gewürztraminer และ Pinot noir ของที่นี่ ก็ดีแบบที่หาตัวจับได้ยากทีเดียวครับ

ชิลีเหนือ

ทางเหนือของชิลี ก็มีสภาพพื้นที่อันโดดเด่น อเพราะอยู่ใกล้กับทะเลทราย Atacama จึงมีอากาศที่แห้งมาก แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้ทะเลทราย แต่องุ่นที่เติบโตได้ดีกลับเป็นองุ่น cool climate เนื่องด้วยการยกตัวสูงของพื้นที่ภูเขาแอนดีส และลมหนาวจากชายฝั่งแปซิฟิค จึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าสนใจอย่างมากครับ ถึงแม้ทางจะมีองุ่นที่หลากหลาย แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเท่าพื้นที่ตอนกลาง แต่สิ่งที่ภาคเหนือโด่งดังที่สุดคือ Pisco ซึ่งนำมาใช้ในค๊อกเทล Pisco Sour ชื่อดัง

Atacama Region

เป็นพื้นที่ที่อยู่เหนือสุดติดกับทะเลทราย Atacama ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แห้งที่สุดในโลก ได้รับน้ำฝนประมาณปีละประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น! ทั้งร้อนและแห้ง จึงมีปริมาณผลผลิตที่น้อย ปลูกได้แค่บริเวณชายฝั่งแปซิฟิคที่ติดกับลมทะเลเย็นๆ สามารถปลูก Pinot Noir, Syrah, Chardonnay และ Sauvignon Blanc ผลิต table wine ที่เน้นดื่มกันในท้องถิ่น แต่ผลผลิตส่วนใหญ่จากองุ่นของพื้นที่ทะเลทรายนี้ เหมาะกับการนำไปทำ Pisco หรือบรั่นดี หรือที่เรียกว่า spirit เพราะองุ่นมีรสเข้มข้นมาก สำหรับนำไปทำ fortified wine ต่อไปครับ

Elqui Valley

ลงมาทางใต้ของทะเลทราย Atacama หน่อย แต่ก็ยังมีอากาศที่ร้อนและแห้ง (ได้รับน้ำฝนต่อปีเพียง 3 นิ้ว) จึงสามารถปลูกองุ่นได้แค่บริเวณชายฝั่ง ที่พื้นดินส่วนใหญ่เป็นกรวดและหินเท่านั้น แต่สามารถผลิต Sauvignon Blanc ที่รสเข้มขนและครีมมี่กว่าพื้นที่อื่นๆ ในชิลีได้ นอกจากนั้นยังมี Syrah ที่รสสัมผัสกระชับ แต่ก็เบาสบาย ดื่มคล่องไปพร้อมๆ กันครับ

Limarí Valley

มีความใกล้เคียงกับ Elqui แต่ได้ดินที่มีส่วนผสมของหินปูน จึงสามารถปลูก Chardonnay ที่รสชาติสดชื่นและเต็มไปด้วยแร่ธาตุ ไปจนถึง Syrah และ Pinot noir ที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน

Choapa Valley

เป็นพื้นที่เล็กๆ มีเพียง 1 วินยาร์ด และไม่มีโรงงานผลิตในพื้นที่ครับ แต่ก็สามารถปลูก Syrah คุณภาพเยี่ยมได้บ้างครับ

การแบ่งเกรดของ ไวน์ชิลี 

หลายคนอาจคุ้นเคยกับระบบ Classification ที่แบ่งไวน์ไปตามคุณภาพ ของไวน์ที่ทั้งฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน และออสเตรเรีย ต่างก็ใช้ระบบประมาณนี้ แต่ไวน์ชิลีอยากจะให้คนที่ซื้อทราบถึงแหล่งการผลิตของไวน์ชิลีมากกว่า จึงมีการระบุ sub-region ไวน์บนฉลากของไวน์ทุกขวด นอกจากนั้นยังระบุสภาพพื้นที่ที่ใช้สำหรับปลูกองุ่น เป็นระบบใหม่ที่กำหนดใช้ในปี 2011 โดยมีแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ครับ

  • Costa (พื้นที่ชายฝั่ง) – ได้อิทธิพลจากกระแสนน้ำเย็นและลมชายฝั่ง ทำให้สามารถปลูกองุ่น cool climate ได้ดี ตั้งแต่ Pinot noir ไปจนถึงไวน์ Rose
  • Entre Cordilleras (พื้นที่ระหว่างเทือกเขาและชายฝั่ง) – ไวน์ 89% ของชิลีถูกปลูกในพื้นที่ดังกล่าว เหมาะกับไวน์แดงรสเข้มข้นอย่าง Cabernet Sauvignon และ Carménère
  • Andes (พื้นที่เทือกเขา) – เน้นไปที่ไวน์ cool climate เช่นไวน์แดงจาก Pinot noir หรือไวน์ขาวจาก Chardonnay และ Sauvignon blanc เป็นต้น

ฉะนั้น การเรียนรู้ลักษณะพื้นที่ของชิลีจึงสำคัญอย่างมากในการเลือกไวน์ชิลีคุณภาพแต่ละขวด เช่นหากอยากได้ Cabernet Sauvignon คุณภาพเยี่ยม รสชาติเข้มข้น ให้ตามหา Maipo (sub-region), Entre Cordilleras (classification)

Our favourite wines

"ไวน์" ไวน์แมน - ไวน์แดง ขาว สปาร์กลิงไวน์

สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด

บริษัทขอสงวนสิทธิ์การสั่งให้สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น ผู้สั่งต้องรับสินค้าด้วยตัวเอง พนักงานทางร้านจะต้องมีการพบหน้าผู้สั่งและตรวจสอบบัตรประชาชนและอายุโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ประกอบภาพและคำอธิบายทั้งหมดไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทและสรรพคุณของเครื่องดื่ม สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด หลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับ