เพราะอะไรไวน์ถึงเเพงจัง?
October 1, 2020
คุณเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมไวน์ถึงเเพงนัก? ไวน์ที่เเพงนี่ดีกว่าไวน์ราคาถูกหรือเปล่าเเละเเตกต่างกันยังไง? คำถามนี้มีคำตอบหลายด้านหลายมุม เเล้ววันนี้เราจะมาอธิบายในมุมมองของต้นทุน (direct cost) ของส่วนประกอบต่างๆในไวน์ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาขององุ่น การใช้ถังโอ๊คเเละรวมถึงเเพ็คเกจจิ้ง สำหรับคนที่อยากรู้ว่า ไวน์ตัวละ 5 พันบาทเเละต่ำกว่าพันบาทต่างกันอย่างไรกันเเน่ อ่านต่อเลยครับ
ต้นทุนโดยตรง (direct cost) ของผู้ผลิตในการผลิตไวน์ขวดหนึ่งนั้นประกอบด้วย 3 อย่างหลักๆ 1.องุ่น 2.ถังโอ๊ค 3.เเพ็คเกจจิ้ง
ไวน์แนะนำ
องุ่น 80-600 บาท
เเน่นอนครับว่าองุ่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้ลงทุนในการผลิตไวน์ ความเเตกต่างของราคาระหว่างองุ่นเเพงเเละถูกนั้น บางทีเป็นถึงหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์องุ่น, สถานที่ปลูกและกระบวนการปลูกองุ่น (เช่น ผลผลิตต่ำหรือผลผลิตสูง, เก็บเกี่ยวด้วยมือหรือเครื่องจักร) ถ้าดูตัวอย่างในสหรัฐ Cabernet Sauvignon ที่มาจาก Napa Valley โดยเฉพาะไร่องุ่นดังๆ ราคาจะขึ้นไปถึงประมาณ 500 บาทต่อขวดเลย เมื่อเทียบกับพันธุ์องุ่น Merlot ในภูมิภาคอื่นใน California ซึ่งราคาต่ำกว่า 100 บาทต่อขวด (ข้อมูลจาก California Grape Crush Report)
ถังโอ๊ค 30-200 บาท
ราคาขึ้นอยู่กับเเหล่งที่มาของโอ๊คเเละคุณภาพของตัวถังด้วย นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายอาจจะใช้ถังไม้โอ๊คเพียงครั้งหรือสองครั้งและเปลี่ยนไปใช้ถังใหม่ ในขณะที่บางรายสามารถใช้ถังได้ถึง 10 ครั้งตลอดช่วงอายุการใช้งาน ถ้าเทียบค่าใช้จ่ายจากถูกสุดไปแพงสุดเเล้ว ไวน์ที่หมักถังโอ๊คเกรดต่ำที่ถูกใช้งานมาหลายรอบราคาก็จะตกอยู่ที่ขวดละ 30 บาท ในขณะที่ไวน์ที่หมักในถึงโอ๊คคุณภาพสูงเเละใหม่ก็จะมีราคา 200 บาทต่อขวด นี่เเค่สำหรับราคาถังโอ๊คอย่างเดียวนะครับ
แพ็กเกจขวดไวน์ 20-200
เราหลายคนรู้กันดีว่า บางทีมันก็เป็นเเค่เเพ็กเกจ สิ่งที่อยู่ขวดต่างหากสำคัญกว่า เเต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราทุกคนยังไงก็ตกเป็นทาสของเเพ็กเกจจิ้งอยู่ดี
ฝาเกลียว: ในวงการไวน์มีการหาสิ่งอื่นมาใช้เเทนจุกคอร์กมาตั้งเเต่ช่วง 1960 เเล้วครับ ตัวของฝาเกลียวกับจุกคอร์กเองก็มีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย ซึ่งไวน์เเมนก็เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ในบล็อกเเล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ฝาเกลียวนี่ก็มีประสิทธิภาพในการปิดขวดไวน์ที่ดีทีเดียวเลย เเถมบางทียังความมั่นคงกว่าจุกคอร์กอีกครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การเปิดจุกคอร์กนั้นให้ความรู้สึกหรูหรา มีคนจำนวนไม่น้อย รวมทั้งผมด้วยที่ยังคงชื่นชอบอยู่ เเละใช่ครับ เเพงกว่าเเน่นอน
ขวดไวน์: ลองสังเกตุว่าคอของขวดไวน์จะมีลักษณะเป็น 2 เเบบหลัก คือขวดที่มีคอสูงเเละคอต่ำ สิ่งที่คุณควรรู้คือ ขวดที่คอมีลักษณะสไลด์ยาวลงไป (อย่างเช่นขวด Burgundy) เเละตัวขวดที่อ้วนกว่า ซึ่งขวดเหล่านี้มักมีราคาแพง ส่วนปัจจัยหนึ่งคือ น้ำหนักของขวด บางขวดไวน์มีน้ำหนักถึง 60% ของน้ำหนักขวดทั้งหมด ประโยชน์ของเขาก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็เเค่ทำให้เรารู้สึกหนัก เเละมาพร้อมกับราคาที่แพงกว่า
ฉลาก: ฉลากที่ราคาแพงมักมากับดีไซน์ที่สวยหรู ใช้วัสดุที่อยู่ได้นาน ราคาก็จะอยู่ที่ละ 50 กว่าบาท ในขณะที่ฉลากที่มีคุณค่าทางจิตใจจะถูกกว่ามาก
จากทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไวน์ที่มีเเพ็กเกจดีๆมีมูลค่าอาจมีราคาถึงประมาณ 200 บาท ในขณะที่เเพ็กเกจไวน์ราคาถูกเเบบมาตรฐานและตัวเเมสๆจะมีราคาเพียง 20 บาท – ต่างกันมากทีเดียว!
Fun fact : เคยสังเกตุขวดไวน์ที่มีก้นขวดมีลักษณะยุบลงไปข้างในขวดไหมครับ ขอให้รู้กันไว้เลยครับว่าตรงนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไร ก็เเค่เป็นสัญลักษณ์ว่าไวน์ขวดนั้นเเพงกว่าไวน์ทั่วไปครับ
ตอนนี้คุณก็รู้เเล้วว่า ไวน์หนึ่งขวดมีรายละเอียดอะไรบ้าง ความแตกต่างของต้นทุนก็มีไม่น้อย ตัวอย่างเช่น ต้นทุนโดยตรงของไวน์ราคาถูกนั้นอยู่ที่ 120 บาทในขณะที่ขวดเเพงๆสามารถเเตะถึง 1 พันบาทได้เลย ด้วยองุ่นคุณภาพดีกว่า ชนิดและความใหม่ของถังโอ๊ค รวมทั้งเเพ็กเกจจิ้ง ก็คือไวน์ราคาแพงขวดหนึ่งอาจมีราคาสูงกว่าไวน์ถูกถึง 10 เท่าเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน…มีอย่างอื่นอีกครับ…เรายังไม่ได้คำนวนถึงต้นทุนของแรงงาน, สิ่งอำนวยความสะดวก, brand markup, การขนส่ง เเละเเน่นอนในประเทศไทย ปัจจัยหลักคือ ภาษีนำเข้าที่สูงจนน้ำตาไหลเลย ฯลฯ ถ้าเพิ่มปัจจัยพวกนี้ไปอีก เราก็จะรู้เลยว่า ทำไมไวน์ขั้นเทพถึงมีราคาแพงเว่อร์ๆขนาดนั้น!
หมายเหตุ: ตัวเลขที่ใช้อ้างอิงนี้มาจากต้นทุนของการผลิตไวน์ในสหรัฐอเมริกา และจำไว้ด้วยนะครับว่านี่เป็นเพียงต้นทุนวัสดุต่างๆที่คุณสามารถเห็นได้จากขวดเท่านั้น เพราะจริงๆเเล้วยังมีเบื้องหลังมากมาย เช่น ค่าที่ดิน (ยิ่งทำเลไหนเป็นที่ต้องการมาก ราคาก็จะแพงมาก), วิธีการเก็บเกี่ยว, การผลิต, การขนส่งเเละการตลาด เป็นต้น สิ่งสุดท้ายที่สำคัญมากๆ คือ อย่าลืมนะครับว่าราคาของไวน์ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายๆอย่างที่จับต้องไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ไวน์มีราคาแพงคือ อุปสงค์เเละอุปทาน ส่วนใหญ่เเล้วโรงผลิตไวน์นั้นก็ไม่ได้ทำกำไรได้ดีเท่าไหร่นัก แต่สำหรับผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและมีเขตผลิตไวน์ที่ๆเป็นมรดกทางวัฒนธรรม บวกกับความเห่อของคน ในบางกรณี (DRC, Petrus ฯลฯ ต้นทุนก็คงไม่เกี่ยวข้องกับราคาสักเท่าไหร่ เหมือนๆกับกระเป๋า Hermes ละครับ!